วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552
บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย มีปัญหาเพราะการมีส่วนร่วมไม่มากพอ
การโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ที่ประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชสมุนไพร 13 ชนิด ที่สามารถใช้ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 รวมทั้งการยกเลิกการควบคุมซัลเฟอร์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นว่าการออกกฎหมายตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีขั้นตอนกระบวนการที่ยังตามไม่ทันกับบริบทสังคมปัจจุบันที่ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายอย่างกว้างขวางเพียงพอนั่นเอง
ความเป็นมาในกรณีพืชสมุนไพรนั้น กรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบได้ชี้แจงว่าที่ออกประกาศรายการนี้ก็เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งเป็นการลดการใช้สารเคมีได้ทางหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ถูกกำหนดเป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 2 ซึ่งผู้ที่จะผลิต นำเข้า ส่งออก และครอบครองต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งดำเนินการ ทำให้ผู้ที่จะผลิตประสบปัญหายุ่งยากในขั้นตอนการขึ้นทะเบียน เพราะไม่มีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขึ้นทะเบียน ดังนั้นกรมวิชาการเกษตรจึงช่วยเหลือด้วยการลดการควบคุมลงมาเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 แทน โดยวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 มีมาตรการควบคุมเพียงแจ้งข้อเท็จจริงเท่านั้น และที่เลือกพืช 13 ชนิดนี้ก็เพราะกรมวิชาการเกษตรมีการศึกษาทางวิชาการรองรับแล้ว และที่ไม่ยกเลิกการควบคุมไปเลย เพราะต้องการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีผลิตภัณฑ์ปลอมออกมาขายจำนวนมาก จึงยังต้องคุมต่อไปเพื่อดูแลเรื่องคุณภาพ สำหรับข้อกังวลของสังคมที่เกิดขึ้นนั้น กรมวิชาการเกษตรมองว่าเป็นเรื่องของภาษาและการสื่อสารทำให้เข้าใจไม่ตรงกัน การใช้คำว่าวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นคำตามกฎหมายทำให้ดูน่ากลัว ดูว่าพืชสมุนไพรเหล่านั้นเป็นของอันตราย และจะทำการทบทวนในเรื่องถ้อยคำและการสื่อสารและการรับฟังความคิดเห็นต่อไป
ส่วนกรณียกเลิกการควบคุมซัลเฟอร์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ซึ่งมีประเด็นว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบนำเข้าซัลเฟอร์ที่สำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกรมศุลกากรกำลังดำเนินคดีหรือไม่ เพราะเป็นคดีใหญ่ มีค่าปรับเป็นเงินจำนวนหลายพันล้านบาท กรอ. ชี้แจงแต่เพียงว่าปกติสารซัลเฟอร์จะถูกควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยกรมวิชาการเกษตรเท่านั้น เมื่อครั้งจะออกประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2549 กรมวิชาการเกษตรได้เสนอให้ กรอ. คุมซัลเฟอร์ด้วย เนื่องจากพบว่ามีการลักลอบนำเข้าซัลเฟอร์มาใช้เป็นสารป้องกันเชื้อรา โดยอ้างว่านำมาใช้ทางอุตสาหกรรม จึงได้มีการประกาศให้ซัลเฟอร์เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 คุมโดย กรอ. ในประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2549 ต่อมาเมื่อมีการพิจารณาประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ฉบับที่ 6 กรอ. ได้ขอยกเลิกการควบคุมสารซัลเฟอร์เป็นวัตถุอันตราย โดยให้เหตุผลว่าซัลเฟอร์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมเป็นคนละสถานะกันกับซัลเฟอร์ที่ใช้ในทางเกษตร และซัลเฟอร์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมมีกฎหมายโรงงานและประกาศกระทรวงมหาดไทยควบคุมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงการยกเลิกการควบคุมซัลเฟอร์ในประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2552 ดังกล่าว
ด้านคดีความนั้น สภาอุตสาหกรรมชี้แจงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมนำเข้าซัลเฟอร์อย่างสม่ำเสมอ นับตั้งแต่ประกาศฉบับที่ 5 มีผลบังคับใช้ โดยได้ผ่านขั้นตอนตามพิธีการศุลกากรอย่างที่เคยปฎิบัติ จนเมื่อเดือนกันยายน 2551 จึงมีการตรวจค้นและกล่าวหาว่าผู้ประกอบการนำเข้าสินค้ามาอย่างผิดกฏหมายและมีโทษปรับสูงสุด 4 เท่าของมูลค่าสินค้า คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณหมื่นล้านบาท
มีปัญหาเพราะการมีส่วนร่วมไม่มากพอ
จากความเป็นมาข้างต้นจะเห็นว่าส่วนหนึ่งและน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมาคือ การมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมไม่เพียงพอ ในกรณีของพืชสมุนไพรเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการละเลยการมีส่วนร่วมของสาธารณะ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพร ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยอย่างมาก หากเปิดให้สาธารณะรับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่ต้นกรณีความเข้าใจไม่ตรงกันในเรื่องถ้อยคำ “วัตถุอันตราย” น่าจะน้อยลงเพราะได้มีการถกเถียงทำความเข้าใจร่วมกันมาก่อนหน้าแล้ว และอาจมีข้อเสนอแนะทางเลือกอื่นที่น่าสนใจ เช่น
o น่าจะใช้ชื่อ “ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ได้จากพืช 13 ชนิดดังนี้ สะเดา......ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” แทนคำที่ประกาศคือ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำมาใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย......” การเน้นที่คำว่าผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช... มาก่อนสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงความเป็นอันตรายได้ง่ายกว่า
o ในอดีตควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ยังพบผลิตภัณฑ์ปลอมด้อยคุณภาพ ถ้าผ่อนคลายการควบคุมจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร การขึ้นทะเบียนเป็นขึ้นตอนเพื่อประเมินว่าผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพการใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่และการใช้มีความปลอดภัยหรือไม่ การขึ้นทะเบียนจึงจำเป็นในสถานการณ์การควบคุมในปัจจุบันของประเทศเรา อย่างไรก็ดี หน่วยงานรับผิดชอบสามารถออกประกาศให้ใช้ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาของกรมวิชาการเกษตรแทนได้ เพื่อทำให้การขึ้นทะเบียนง่ายขึ้น และในกรณีผลิตภัณฑ์มีปัญหาจะมีมาตรการลงโทษผู้กระทำผิดได้หนักกว่ากรณีเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1
o ไม่ว่าในกรณีเกษตรกรที่ผลิตใช้และขายจำนวนไม่มากควรต้องกำหนดหลักเกณฑ์ยกเว้นไว้ เช่น
o ถ้ากำหนดให้ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำมาใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย......” เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ก็ต้องยกเลิกรายการเดิมที่ประกาศให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ด้วย แล้วประกาศเป็นวัตถุอันตรายกลับเข้ามาใหม่โดยตัดเอาผลิตภัณฑ์จากพืช 13 ชนิดนี้ออก ไม่อย่างนั้นจะเป็นว่าผลิตภัณฑ์จากพืช 13 ชนิดนี้จะถูกคุมเป็นวัตถุอันตรายทั้งชนิดที่ 2 และ 1 ในเวลาเดียวกัน แล้วจะทำอย่างไรดี
ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก็ยังไม่มีส่วนร่วม
กรณียกเลิกซัลเฟอร์เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นผลเสียของการไม่เปิดให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั้งผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงได้แสดงความคิดเห็นก่อนตัดสินใจออกประกาศ กล่าวคือ หากก่อนจะประกาศให้ซัลเฟอร์เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ในประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ฉบับที่ 5 กรอ. มีการเชิญผู้เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทที่ใช้ซัลเฟอร์ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมมาให้ความเห็นก่อน เหตุผลในเรื่องสถานะของซัลเฟอร์ที่แตกต่างกันสำหรับการใช้งานทางอุตสาหกรรมและทางเกษตรก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาตั้งแต่ต้น และการประกาศครั้งนั้นก็จะไม่สร้างปัญหาจนต้องมีการยกเลิกการควบคุมในภายหลัง
นอกจากประเด็นการไม่เปิดให้ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องการไม่ประเมินผลกระทบและลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ กรอ. ควรรู้ว่าซัลเฟอร์เป็นสารเคมีพื้นฐานที่มีการใช้อย่างกว้างขว้างในวงการอุตสาหกรรม ดังนั้นเมื่อประกาศฯ ออกมาแล้ว กรอ. จึงควรเผยแพร่ข้อมูลไปยังผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงเพียงพอซึ่งเป็นสิ่งที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมสามารถกระทำได้เพื่อลดผลกระทบที่เกิดกับผู้ประกอบการ และให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัวปฏิบัติตามข้อบังคับได้ทันท่วงที
ปัจจุบันการกำหนดนโยบายหรือกฎหมายจะให้ความสำคัญกับขั้นตอนการเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเพียงพอและโปร่งใส เพื่อให้นโยบายหรือกฎหมายนั้นผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน ตัวอย่างเช่นในประชาคมยุโรป หรือ EU นั้น ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในเรื่องการจัดการสารเคมีอย่างมาก ซึ่งเห็นได้จากการกำหนดเรื่องการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะไว้ในกฎหมายควบคุมสารเคมีด้วย เช่น ในกรณีสารที่ต้องขออนุญาตและจำกัดการใช้ที่หน่วยงานกลางต้องประกาศรายชื่อออกมานั้น มีข้อกำหนดให้เปิดเผยร่างเพื่อระดมความเห็นจากสาธารณะก่อนที่จะประกาศบังคบใช้ ขั้นตอนการเปิดรับฟังความคิดเห็นเช่นนี้คณะกรรมการวัตถุอันตรายอาจนำมาเป็นแนวทางสำหรับประกาศฯ บัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายได้ทันที เพราะแม้ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายจะไม่กำหนดในเรื่องการมีส่วนร่วมไว้ แต่ก็มิได้ห้ามไว้เช่นกัน การมีส่วนร่วมนอกจากจะทำให้บัญชีวัตถุอันตรายที่จะประกาศได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ยังเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทำงานของคณะกรรมการวัตถุอันตรายและหน่วยงานรับผิดชอบอีกด้วย
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552
สายเกินไปไหม? จดหมายที่ยาวที่สุดที่ฉันเคยเขียน
สายเกินไปไหม?
จดหมายที่ยาวที่สุดที่ฉันเคยเขียน
นี่เป็นชื่อหนังสือที่ขอแนะนำค่ะ คนเขียนเป็นแม่บ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่งในญี่ปุ่นชื่อ แทโกะ กันชา เธอเขียนเล่าความกังวลและความห่วงใยที่มีต่อการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เพื่อน ๆ ของเธอได้รับทราบ จดหมายฉบับนี้ได้รับการพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษมาก่อนแล้ว สำหรับฉบับภาษาไทยได้รับการแปลโดย พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ และจัดพิมพ์โดยกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม หลังสือเล่มนี้ถูกแจกจ่ายไปตามห้องสมุดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ลองอ่านเนื้อหาบางส่วนจากจดหมายขนาดยาวเล่มนี้ค่ะ
ทำไมโลกเราทุกวันนี้น่าเศร้าจัง
ในอดีต มีหรือที่แม่จะใส่ยาพิษในอาหารทุกมื้อที่ปรุงสำหรับครอบครัว เป็นไปได้หรือที่แม่จะใส่ยาพิษลงไปในอาหาร ยาพิษซึ่งจะเป็นอันตรายในระยะยาวและค่อย ๆ บั่นทอนสุขภาพของครอบครัว แต่นี่เป็นสิ่งที่แม่ๆ กำลังทำโดยไม่ตระหนักถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น
นับตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมเชอร์โนบิล (
ใครจะนึกว่าวันหนึ่งเราต้องมากินอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสารสังเคราะห์และสาร กัมมันตรังสีอันตราย เรารู้ดีว่าภายหลังเกิดโศกนาฏกรรมที่เชอร์โนบิล แม่ซึ่งอยู่ในสหภาพโซเวียตและยุโรปต่างเศร้าเสียใจมากเพียงใด และทุกวันนี้พวกเราแม่ๆ ชาวญี่ปุ่นต้องตกอยู่ในความเศร้าเช่นเดียวกันนั้น ผลกระทบที่สำคัญจากอุบัติเหตุดังกล่าวเริ่มปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว
ในระหว่างที่เกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์เชอร์โนบิล สารกัมมันตรังสีจำนวนมากหลายพันล้านคูรีแพร่กระจายออกไป สารกัมมันตรังสีลอยตามกระแสลมเป็นระยะทาง 8,000 กิโลเมตรจนถึงญี่ปุ่น ส่งผลให้สาหร่ายทะเล ทุ่งหญ้า น้ำนม และสิ่งอื่นๆ ในญี่ปุ่นปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตรังสี แม่ซึ่งทราบว่าน้ำนมของเธอปนเปื้อนเอาแต่ร้องไห้ด้วยความขมขื่น เพราะที่ผ่านมาเธอเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองมาตลอด เธอทราบดีว่าน้ำนมของเธอปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตรังสี และลูกของเธอน่าจะได้รับผลกระทบ
เมื่อร่างกายย่อยสลายอาหารที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี สารเหล่านั้นจะแพร่กระจายเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายและแพร่รังสีออกมาพร้อมๆ กับทำลายเซลล์ในร่างกาย
ไอโอดีน 131 สะสมในต่อมไทรอยด์และกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนของต่อม ไอโอดีน 131 มีอายุครึ่งชีวิตแปดวัน (อายุครึ่งชีวิตหมายถึงช่วงเวลาที่สารกัมมันตรังสีลดทอนจำนวนลงไปครึ่งหนึ่ง ตามธรรมชาติ สารแต่ละชนิดจะมีอายุครึ่งชีวิตต่างกัน สำหรับไอโอดีนจะมีอายุครึ่งชีวิตแปดวัน หมายถึงว่าเมื่อผ่านไปแปดวันจะมีจำนวนลดลงครึ่งหนึ่ง อีก 16 วันก็จะลดลงไปอีกครึ่งหนึ่ง หรือเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของสารจำนวนเดิม สารกัมมันตรังสีจะลดจำนวนครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยหมดโดยสิ้นเชิง)
พลูโตเนียม 239 สะสมในปอดและเป็นสาเหตุของมะเร็งปอด มันมีอายุครึ่งชีวิตถึง 24,000 ปีทีเดียว! ในช่วงเวลาดังกล่าวสารจะปล่อยกัมมันตรังสีออกมาเรื่อยๆ
สตรอนเทียม 90 สะสมในกระดูกและเป็นสาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว อายุครึ่งชีวิตของมันคือ 28 ปี
โคบอลต์ 60 สะสมในตับและเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ มีอายุครึ่งชีวิต 5 ปี
ซีเซียม 137 สะสมในอวัยวะสืบพันธุ์และเป็นสาเหตุของการเป็นหมันและความผิดปกติด้าน ฮอร์โมน อาจส่งผลให้ทารกคลอดออกมาด้วยอาการพิการอย่างรุนแรง ซีเซียม 137 มีอายุครึ่งชีวิต 30 ปี พอๆ กับอายุในวัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง
เมื่อแปดปีก่อนได้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บนเกาะทรีไมล์ (
เธอบอกว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นหลายคนต้องประสบกับปัญหาความผิดปกติด้าน สุขภาพ มีรายงานผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้น ถึงขั้นที่ว่ามีผู้เสียชีวิตในครอบครัวเดียวกันถึงหกคน คุณออสบอนและคนอื่นๆ ซึ่ง แม้จะไม่ใช่นักเคลื่อนไหวหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ต่างเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องผิดปกติ และพยายามสอบสวนหาสาเหตุด้วยตนเอง
การสอบสวนทำให้ทราบว่า สาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พวกเขาส่งข้อมูลให้กับรัฐบาลแห่งรัฐเพื่อขอให้มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ แต่ความพยายามไม่ได้ผล รัฐบาลปฏิเสธข้อมูลที่พวกเขารวบรวม โดยบอกว่าเป็นข้อมูลซึ่งไม่สามารถเชื่อถือได้ในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาประกาศว่าสุขภาพของประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ อย่างมากก็มีแค่ความเครียดในใจ
ลอง คิดดูสิว่าฉันตกใจแค่ไหนที่เกิดเรื่องแบบนี้ในประเทศประชาธิปไตยอย่างสหรัฐ อเมริกา มันจะเป็นยังไงนะถ้าหากเกิดเรื่องแบบเดียวกันนี้ในประเทศญี่ปุ่น
ใครสนใจลองไปหาอ่านได้ตามห้องสมุดมหาวิทยาลัยทั่วไปหรือติดต่อซื้อที่ cainthai@gmail.com ค่ะ
ของเสียอันตรายจากบ้านเรือน... อันตรายถ้าจัดการไม่ถูกวิธี
เวลาที่ผลิตภัณฑ์ตามบ้านเรือนที่มีความเป็นอันตรายถูกใช้จนหมดแล้วหรือไม่ ใช้แล้วจะกลายเป็นของเสียอันตรายและถูกทิ้งรวมไปพร้อมกับขยะทั่วไป การกำจัดแบบขยะทั่วไปไม่สามารถใช้กำจัดของเสียอันตรายได้ การจัดการที่ไม่ถูกต้องทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
อันตรายถ้ากำจัดไม่ถูกวิธี
ปกติการจัดการขยะทั่วๆ ไปจากบ้านเรือนมีขั้นตอนคือ เมื่อเจ้าของขยะนำขยะมาทิ้งในภาชนะรองรับที่หน่วยงานรับผิดชอบ เช่น เทศบาล หรือ อบต. จัดไว้ให้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะมาเก็บขยะใส่รถไปยังสถานีรวมหรือสถานที่กำจัด ซึ่งมักเป็นหลุมฝังกลบขยะ หลุมฝังกลบขยะทั่วไปได้รับการออกแบบให้ฝังกลบขยะทั่วไปได้อย่างปลอดภัยเท่า นั้น
ถ้ามีขยะหรือของเสียอันตรายถูกทิ้งรวมไปกับของเสียทั่วไป อาจเกิดอันตรายหรือปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมได้ทั้งในระหว่างขั้นตอนการเก็บขนและ การกำจัด เช่น ถ้ามีหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ถูกทิ้งรวมไปด้วย หลอดไฟอาจแตกหักระหว่างขนถ่ายเข้า-ออกจากรถขนขยะ หรือขณะฝังกลบ ปรอทที่เจือปนอยู่สามารถแพร่กระจายเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากหลุ่มฝังกลบขยะทั่วไปไม่สามารถป้องกันการซึมผ่านของสารได้ จากนั้นปรอทจะถูกย่อยสลายกลายเป็นสารพิษ (ปรอทอินทรีย์) สารพิษนี้เมื่อเข้าสู่สิ่งมีชีวิตจะสามารถเพิ่มปริมาณสะสมขึ้นได้อย่างมาก เมื่อมีการกินต่อ ๆ กันตามห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะมาสิ้นสุดที่คนที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร การได้รับปรอทอินทรีย์อาจทำให้มีอาการคันหรือชา ประสาทสัมผัสทำงานผิดปกติ สั่น เดินลำบาก ถ้าได้รับเป็นเวลายาวนานสามารถก่อให้เกิดโรคมินามาตะได้
ถ้าเททิ้งลงท่อทางอ่างน้ำหรือชักโครก ของเสียอันตรายจะไหลไปยังถังบำบัดน้ำเสียของบ้าน ของเสียบางชนิดสามารถฆ่าจุลินทรีที่ทำหน้าที่ย่อยปฏิกูลและน้ำเสีย ทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ของเสียอันตรายบางชนิดไม่ถูกย่อยสลายที่ถังบำบัดและจะปนเปื้อนไป กับน้ำทิ้งที่ออกจากถังบำบัดเข้าสู่แหล่งรองรับธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปได้ที่จะปนเปื้อนลงสู่ระบบน้ำใต้ดิน นอกจากนี้ การเทผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนลงท่อจะทำให้ท่อผุกร่อนได้
การกำจัดของเสียอันตรายจากบ้านเรือนโดยการกองเผาเป็นสาเหตุของมลพิษอากาศ ควันไฟที่เกิดขึ้นอาจเป็นควันพิษ โดยเฉพาะการเผาพลาสติก หรือผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจระเบิดได้ เช่นกระป๋องสเปรย์ ขี้เถ้าที่เหลืออยู่ก็ปนเปื้อนด้วยสารพิษเช่นกัน
แนวทางการจัดการ
การจัดการของเสียอันตรายจากบ้านเรือนนั้นมีแนวทางสำหรับประชาชนซึ่งเกี่ยว ข้องในฐานะผู้ก่อกำเนิด และหน่วยงานที่ต้องดูแลรับผิดชอบจัดการของเสียอันตรายจากบ้านเรือนดังนี้
สำหรับประชาชน :
- ซื้อผลิตภัณฑ์อันตรายมาใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
- ซื้อแค่พอดีใช้
- มองหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์แบบเดียวกันแต่มีอันตรายน้อยกว่ามาใช้แทน
- ก่อนใช้ต้องอ่านฉลากให้เข้าและปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลาก
- ต้องเก็บไว้ให้ห่างจากเด็ก
- ควรดูแลให้ฉลากอยู่ในสภาพใช้งานได้ ไม่หลุดหรือขูดขาดจนอ่านไม่ได้
- ควรเก็บผลิตภัณฑ์ที่กลายเป็นของเสียแล้วไว้ในภาชนะบรรจุเดิมและปิดฝาให้แน่น
- แยกของเสียอันตรายที่รีไซเคิลได้
- เก็บไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่มารวบรวมจากที่พักอาศัย
- ไม่แบ่งผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีใส่ภาชนะอื่นโดยเฉพาะภาชนะสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม
- ไม่นำภาชนะบรรจุสารกำจัดแมลงหรือสารเคมีอื่นๆ มาใช้อีก
- ไม่ผสมของเสียอันตรายหลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกัน
- ไม่กองเผาหรือเททิ้งของเสียอันตรายลงพื้นดิน
- ไม่เททิ้งของเสียอันตรายลงอ่างน้ำหรือชักโครก
สำหรับหน่วยงานท้องถิ่น (ได้รับอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535) :
- สร้างศักยภาพด้านการรีไซเคิลและกำจัดของเสียอันตรายจากบ้านเรือนของท้องถิ่น ถ้าในท้องถิ่นไม่มีโรงงานรีไซเคิลหรือสถานที่กำจัด หน่วยงานรับรับผิดชอบต้องหาแนวทางสร้างเครือข่ายหรือเป็นตัวกลางเชื่อมโยง ระหว่างประชาชนและโรงงานรีไซเคิล รวมทั้งติดต่อสถานที่กำจัดที่อยู่ในวิสัยที่สามารถส่งของเสียอันตรายไป จัดการได้ เพื่อให้ของเสียอันตรายที่เกิดขึ้นได้รับการจัดการอย่างถูกต้องปลอดภัยมาก ที่สุด
- ชี้แจงให้ประชาชนทราบทั่วกันถึงขั้นตอนและวิธีการคักแยก จัดเก็บ และการส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อนำไปรีไซเคิลหรือกำจัดทิ้ง ของเสียอันตรายชนิดใดที่สามารถรีไซเคิลได้ ของเสียชนิดนั้นก็ควรถูกแยกออกมาและส่งไปรีไซเคิล ของเสียอันตรายที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะต้องแยกและส่งไปกำจัดด้วยวิธีการ ที่ปลอดภัย เช่น ไปฝังกลบที่หลุมฝังกลบของเสียอันตราย เป็นต้น
- วางแผนและจัดให้มีการดำเนินงานจัดเก็บของเสียอันตรายจากบ้านเรือนโดยเฉพาะ ตามที่ได้แจ้งประชาชนไว้ โดยหน่วยงานรับผิดชอบเป็นผู้จัดเก็บเองหรือให้อนุญาตโรงงานรีไซเคิลมาจัด เก็บเองก็ได้ในกรณีของเสียอันตรายที่สามารถรีไซเคิลได้
- จัดสรรงบประมาณ บุคคลากร พร้อมทั้งส่งเสริมให้การจัดการของเสียอันตรายจากบ้านเรือนอย่างถูกต้องให้ เกิดความยั่งยืน โดยพิจารณาใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งภาคบังคับและสมัครใจที่เหมาะสม
- เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงพิษภัยต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม
เอกสารอ้างอิง :
A.L. Choi and P. Granjean, Environ. Chem. 2008, 5, 112-120. (http://www.publish.csiro.au/?act=view_file&file_id=EN08014.pdf)
Disposal of Hazardous Household Waste (www.cdc.gov/docs/d001201-d001300/d001236/d001236.html)
LA County DPW Household Hazardous Waste Guide (http://dpw.lacounty.gov/epd/hhw/)
Ohio State University Fact Sheet, Disposal of Household Hazardous Materials (http://ohioonline.osu.edu/cd-fact/0102.html)
คู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ อปท. ในการจัดการของเสียอันตรายจากชุมชน (http://infofile.pcd.go.th/haz/Guideline_communitywaste.pdf)
รู้จักของใช้อันตรายในบ้าน
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||